ตอนนี้น้ำประปาในบางพื้นที่มีรสเค็ม เนื่องจากน้ำทะเลหนุน หากต้องการซื้อเครื่องกรองน้ำจะต้องคำนึงถึงเครื่องกรองที่สามารถกรองน้ำกร่อยได้
ดูเครื่องกรองน้ำกร่อยรหัสอ้างอิง X1234
ไม่ได้รับรหัส? ส่งรหัสอีกครั้ง ในอีก 59 วินาที
รหัสอ้างอิง X1234
ไม่ได้รับรหัส? ส่งรหัสอีกครั้ง ในอีก 59 วินาที




1. รู้ส่วนประกอบของน้ำที่ใช้ในครัวเรือน ก่อนอื่นต้องทราบองค์ประกอบของน้ำที่ใช้ในบ้านของเรา หากเป็นน้ำประปาก็เป็นน้ำที่ทำให้สะอาดมาในระดับหนึ่งแล้ว แต่หากเป็นน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยเฉพาะน้ำบาดาล ก็จะมีแร่ธาตุที่ต้องกรองออกเยอะกว่าน้ำประปา เช่น ธาตุไนเตรต, ฟลูออไรด์ และกลิ่นไม่พึงประสงค์ รวมถึงต้องใช้เครื่องกรองที่ฆ่าเชื้อโรคจุลินทรีย์ต่างๆ ได้ 2. รู้วัตถุประสงค์ของน้ำที่จะใช้ หากต้องการน้ำสะอาดไว้ดื่ม จำเป็นต้องเลือกเครื่องกรองน้ำคุณภาพสูง แต่หากต้องการน้ำสำหรับอาบ หรือบริโภคอื่นๆ ก็ใช้เครื่องกรองน้ำธรรมดาทั่วไป ที่ราคาไม่สูงมากนัก เพื่อกรองตะกอน และกลิ่นก็เพียงพอ 3. รู้ไส้กรองของเครื่องกรองน้ำที่เลือก ผู้บริโภคควรสอบถามถึงไส้กรองที่ใช้ในเครื่องกรองน้ำรุ่นต่างๆ จะได้ทราบคุณสมบัติการกรอง และการฆ่าเชื้อโรค เพื่อตรงกับวัตถุประสงค์ที่เลือกใช้ เช่น หากต้องการน้ำบริสุทธิ์สำหรับดื่มโดยไม่ต้องนำมาต้มอีก ก็ควรเป็นเครื่องกรองน้ำที่ฆ่าเชื้อโรคได้ในตัว 4. เปรียบเทียบราคาเครื่องกรองน้ำยี่ห้อต่างๆ ในคุณสมบัติเดียวกัน ราคาของเครื่องกรองน้ำควรจะไม่ต่างกันมาก บางยี่ห้อเพิ่มประกันหลังการขาย พร้อมบริการเปลี่ยนไส้กรองตามอายุการใช้งาน ซึ่งตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภคที่ต้องการบริการหลังการขาย 5. เลือกเครื่องกรองน้ำที่ได้รับมาตรฐานอุตสาหกรรม อย่าดูที่ยี่ห้อ และราคาเพียงอย่างเดียว ต้องดูสัญลักษณ์มาตรฐานที่ได้รับการรองรับจากกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อยืนยันความปลอดภัยเบื้องต้น
ไส้กรอง UF เป็นไส้กรองเมมเบรนชนิดหนึ่ง มีความละเอียดของรูพรุนอยู่ที่ 0.01 ไมครอน (RO 0.0001)UF สามารถกรองสิ่งปนเปื้อน เชื้อจุลินทรีย์และแบคทีเรียขนาดเล็กที่ปนเปื้อนมากับในน้ำได้ทั้งยังคงรักษาแร่ธาตุในน้ำที่มีประโยชน์ได้ UFไม่มีน้ำทิ้ง
ก่อนจะเลือกเครื่องกรองน้ำ ต้องทราบลักษณะของน้ำที่จะผ่านเครื่องกรอง เช่น น้ำบาดาล หรือ น้ำประปา เพื่อเลือกไส้กรองที่เหมาะสมกับลักษณะของน้ำ นอกจากนี้ต้องทราบจำนวนสมาชิกภายในบ้าน เพื่อเลือกกำลังผลิตน้ำได้เพียงพอต่อวัน เครื่องกรองน้ำในครัวเรือนแบ่งคร่าวๆ ได้ 2 ประเภท คือ เครื่องกรองน้ำใช้ และเครื่องกรองน้ำดื่ม • เครื่องกรองน้ำใช้ เป็นเครื่องกรองน้ำประปา หรือ กรองน้ำบาดาลก่อนเข้าสู่ระบบท่อน้ำดีในบ้าน เพื่อคัดกรองแร่ธาตุ และสิ่งสกปรก ที่อาจเข้าสู่ระบบน้ำดีภายในบ้าน ทำให้ท่ออุดตัน และขึ้นสนิม มักใช้คู่กับปั๊มน้ำและถังเก็บน้ำดี • เครื่องกรองน้ำดื่ม เป็นเครื่องกรองน้ำคุณภาพสูงขึ้น ด้วยไส้กรองหลายชั้น คัดกรองอนุภาคและสิ่งสกปรก บางรุ่นมีคุณสมบัติฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ ใช้ต่อกับน้ำประปาเพื่อกรองน้ำดื่มภายในครัวเรือน
ระบบการกรอง RO มีไว้เพื่อใช้คัดแยกสารละลายที่สะสมอยู่ในน้ำปริมาณสูงๆ ให้ลดน้อยลง ซึ่งมักใช้งานในพื้นที่ใช้น้ำจากแหล่งบาดาล พื้นที่ติดกับชายทะเล หรือพื้นที่ที่มีปัญหาน้ำกร่อย เพื่อเป็นการคัดแยกสารละลายให้มีปริมาณที่เหมาะสมแก่การดื่ม ซึ่งการกรองในระบบอื่นไม่สามารถทำได้
เมื่อไม่ได้ใช้น้ำก็จะมีน้ำค้างอยู่ในกระบอก เมื่อไม่มีน้ำเข้ามาแทนที่เป็นเวลานานก็อาจทำให้เกิดกลิ่นซึ่งเป็นเรื่องปกติได้ดังนั้นก่อนการรองน้ำให้เปิดน้ำทิ้งก่อน ประมาณ 1 - 2 นาที กลิ่นก็จะหายไป ถ้าไม่หายอาจเป็นเพราะไส้กรองอาจหมดอายุหรือเสื่อมประสิทธิภาพ จึงควรเปลี่ยนไส้กรอง
การกรองน้ำระบบ RO (Reverse Osmosis) นั้นเป็นระบบการกรองที่แยกโมเลกุลน้ำสะอาดออกจากสารประกอบอื่นๆ ด้วยไส้กรองที่มีความละเอียดของรูพรุนสูงสุด 0.0001 ไมครอน การคัดแยกนี้จะมีการซึมผ่านเยื่อเมมเบรนได้เฉพาะน้ำบริสุทธิ์เท่านั้น ส่วนน้ำที่มีการปะปนของสารประกอบอื่นๆจะถูกแยกออกมาเป็นน้ำทิ้ง ซึ่งโดยทั่วไปจะได้น้ำสะอาดประมาณ 40 % และน้ำทิ้ง 60 %
เมื่อใช้งานไส้กรองน้ำไปสักระยะหนึ่ง ไส้กรองก็ต้องเกิดการอุดตันเป็นเรื่องปกติ ทำให้น้ำไหลช้าลงได้ แต่ทั้งนี้ต้องมีการตรวจสอบอายุการใช้งานไส้กรอง การหักพับของสายน้ำ หรือแรงดันน้ำประปาว่า ปกติหรือไม่ เพราะบางครั้งที่น้ำไหลเบาก็ไม่ได้เกิดจากการอุดตันของไส้กรองอย่างเดียว
โดยธรรมชาติแล้วในน้ำจะมีสารประกอบจำพวก แคลเซียม และ แมกนีเซียม ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอยู่แล้วสารเหล่านี้ถ้ามีปริมาณมาก แล้วถูกนำไปต้มหรือแช่เย็นก็จะเปลี่ยนสภาพเป็นของแข็งจับตัวกับโลหะที่เราเรียกว่า ตะกรัน ซึ่งสารประกอบสำคัญที่ทำให้เกิดเป็นตะกรันก็คือ หินปูน นั่นเอง *วิธีแก้ ปัญหานี้มักจะเกิดจากน้ำดิบที่นำมากรองมีค่าความกระด้างสูง จึงต้องแนะนำให้มีการใช้ไส้กรองเรซิ่นเพิ่มเติมเพื่อเป็นการลดความกระด้างส่วนในรายที่มีการใช้ไส้เรซิ่นอยู่แล้วนั้น เป็นเพราะความสามารถในการแลกเปลี่ยนประจุของเม็ดเรซิ่นเสื่อมลงต้องนำไส้กรองไปล้างน้ำเกลือ 10 % เพื่อเป็นฟื้นฟูความสามารถในการแลกเปลี่ยนประจุเข้าไปใหม่ใช้เวลาประมาณ 25 - 30 นาที หรือเปลี่ยนใหม่ ก็จะทำให้ลดการเกิดตะกรันลงได้
ระยะเวลาในการเปลี่ยนไส้กรองที่แนะนำนั้น มีการทดสอบว่า เป็นช่วงระยะเวลาที่เหมาะสมแล้ว การใช้งานไส้กรองที่เกินกำหนดการเปลี่ยนนั้น อาจทำให้เราดื่มน้ำจากไส้กรองที่เสื่อมประสิทธิภาพการทำงาน ได้น้ำไม่สะอาดเท่าที่ควร
ในลักษณะนี้น่าจะเกิดจากแบคทีเรียที่เข้าไปสะสมอยู่ในทางเดินของน้ำ แล้วจับตัวกันเกาะเป็นแผ่นบางๆ ซึ่งจะหลุดปะปนออกมากับน้ำเมื่อมีน้ำไหลผ่าน ที่เรียกว่า ใบโอฟิล์ม ซึ่งจะพบในพื้นที่การติดตั้งที่ใกล้กับซิงก์น้ำล้างจาน หรือที่มีการแพร่กระจายของแบคทีเรียได้ง่าย และไม่ได้ใช้น้ำต่อเนื่อง การแก้ไข ให้ทำความสะอาดทางเดินของน้ำ อาจเป็นสายน้ำหรือก๊อกน้ำด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อในส่วนของภายนอก ส่วนของภายในท่อทางเดินน้ำให้ลวกด้วยน้ำร้อนก็จะทำให้ปัญหาดังกล่าวหายไป
- ไส้กรอง PP ให้ทำความสะอาดด้วยการถอดออกมาแล้วใช้น้ำฉีดทำความสะอาดผิวภายนอกให้สะอาดได้ ห้ามใช้แปรงหรือของแข็ง ถูบริเวณตัวไส้กรอง เพราะจะทำให้ไส้หลุดร่อน ฉีกขาดได้ - ไส้กรอง คาร์บอนบล็อก 0.5 และ 0.3 ไมครอน ให้ถอดออกมาใช้น้ำฉีดทำความสะอาด และใช้แปรงนิ่มขนอ่อน เช่น แปรงสีฟัน ขัดบริเวณที่สกปรกให้สะอาด แล้วประกอบเข้าที่เดิม - ไส้กรองเรซิ่น ทำความสะอาดด้วยการเตรียมน้ำเกลือ 10 % ( เกลือ 100 กรัม/น้ำ 1 ลิตร ) แล้วนำไส้กรองลงไปแช่ให้ท่วมไส้กรอง เขย่าให้เม็ดเรซิ่นด้านในให้เกิดการเสียดสีกัน เพื่อให้เกิดการคายประจุออกมาเป็นการฟื้นฟูประสิทธิภาพการกรอง ใช้เวลาประมาณ 25 – 30 นาที แล้วล้างน้ำเปล่าให้หมดความเค็ม เสร็จแล้วให้ประกอบเข้าที่ โดยตรวจดูการใส่ไส้กรองให้ถูกต้องด้วย
โดยปกติแล้วบริษัทจะมีระบบการแจ้งเตือนเมื่อถึงกำหนดเวลา โดยเปลี่ยนตามอายุของแต่ละไส้กรองเป็นหลัก แต่ในการใช้งานนั้นสามารถสังเกตได้จากความผิดปกติในการใช้งานได้ เช่น น้ำที่กรองออกมามีกลิ่นผิดปกติ มีกลิ่นเหมือนสารเคมีปนมากับในน้ำ หรืออัตราการไหลของน้ำที่ช้าลง ก็น่าจะถึงเวลาเปลี่ยนไส้กรองได้แล้ว